รีวิว: พาทัวร์ Opera Next 15

เป็นเวลาสักพักใหญ่ๆ ที่ Opera ประกาศว่าจะเลิกใช้เอ็นจิน Presto ของตัวเอง  และหันไปพัฒนาโดยใช้ฐานจาก Chromium แทน  และเมื่อไม่นานมานี้ก็เพิ่งจะปล่อย Opera 14 for Android เบราเซอร์รุ่นมือถือที่มีฐานมาจาก Chromium ไป  จนถึงวันนี้  ก็ได้ปล่อย Opera Next 15 เบราเซอร์เดสก์ท็อปที่ใช้ฐานจาก Chromium มาให้ลองกันแล้วครับ

Opera Next 15 พัฒนาขึ้นมาโดยใช้ Chromium 28 เป็นฐาน  นั่นหมายความว่า Opera Next 15 จะได้เอ็นจินแสดงผล Blink มาด้วยนั่นเอง (Blink คือเอ็นจินที่ Google เอา WebKit มาแยกพัฒนาเอง  โดยลบโค๊ดที่ขยะทิ้งออกไป  ทำให้โดยรวมแล้ว Blink จะเบากว่า WebKit)  โดยใน Opera Next 15 ตัวแรกนี้  ยังพอร์ทเอาฟีเจอร์เก่าๆ กลับมาได้ไม่ครบ  หรือบางอันก็โดนถอดออกไปเสียอย่างนั้น  ดังนั้นในฐานะสาวก Opera จึงขอเขียนบล็อกรีวิวมันสักหน่อยแล้วกัน

สัมผัสแรกของ Opera Next 15

ในทีแรกที่ Opera 14 for Android ถูกปล่อยออกมา  ผมค่อนข้างหวั่นใจมากๆ ว่า Opera สำหรับ Desktop จะออกมาเป็นเหมือน Opera 14 for Android คือเปลี่ยนหน้าตาใหม่หมด  ฟีเจอร์หายเพียบ  และทำงานได้เชื่องช้าอืดอาด  แต่พอได้ลองใช้จริงๆ ก็พบว่ามันไม่ได้เปลี่ยนไปมากขนาดนั้น  โดยรวมหน้าตายังเหมือนเดิม  และการทำงานที่อาจจะเรียกว่าเร็วขึ้นด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตาม  แม้หน้าตาโดยรวมจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิมมาก  แต่เอาจริงๆ การใช้งานจะต่างไปจากเดิมอย่างบ้างเหมือนกัน

หน้า Home tab ใหม่: Speeddial, Stash, และ Discover

หน้า Home tab ของ Opera ถูกยกเครื่องใหม่ทั้งหมด  จากเดิมที่เป็นแค่ Speeddial อย่างที่เราเห็นกันมาตั้งแต่ Opera 9.2 ก็จะเพิ่มฟีเจอร์เข้ามาอีก 2 อย่าง  นั่นคือ Stash และ Discover

Speed Dial ที่ถูกยกเครื่องใหม่

เอาเข้าจริง มันไม่ต่างจากเดิมสักเท่าไหร่  แนวคิดก็คือ “ปักหมุน” เว็บที่เข้าบ่อยเอาไว้ที่หน้า Home เหมือนเดิม  และยังสามารถเขียน extension เพื่อแสดงข้อมูลเพิ่มเติมได้เช่นเดิม  โดยฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามา  คือมันสามารถสร้างโฟลเดอร์ให้ Speed Dial ได้แล้วครับ (สักที)

โดยการเพิ่มเว็บลงใน speed dial สามารถทำได้ 3 วิธี  คือ

  1. กด + ในหน้า Speed Dial
  2. กดที่ปุ่ม Speed Dial ที่อยู่มุมขวาของ Addressbar
  3. คลิกขวาในหน้าเว็บแล้วกด Add to Speed Dial

Stash: ปักหมุดเว็บที่เก็บไว้อ่านทีหลัง

ฟีเจอร์นี้อาจจะคุ้นกันสำหรับคนที่ใช้บริการอย่าง Pocket (ชื่อเดิมคือ Read it later) ที่จะให้กดเก็บหน้าเว็บเอาไว้สำหรับอ่านทีหลัง  ซึ่งหลายๆ คน  เมื่อก่อนจะใช้วิธีเก็บลง bookmarks เอาไว้  และพออ่านเสร็จก็ปล่อยมันไว้ตรงนั้น  ไม่ได้ตามลบทิ้ง (bookmarks แบบเดิมๆ นี่มันก็มีข้อเสียตรงนี้แหละครับ  มันเหมาะกับคลิกไปอ่านอย่างเดียว  ไม่เหมาะกับการจัดการเท่าไหร่  ซึ่งมันจะต้องเปิด Bookmarks Manager มาจัดการอีกต่อนึง) โดยในหน้า Stash มันจะแสดง Preview หัวเว็บให้ดูด้วยนิดนึง

หรือหากไม่ชอบใจ อยากปรับขนาด หรืออยากดูแค่ลิสต์ ก็สามารถเลื่อนแถบทางขวามือเพื่อปรับขนาดได้เช่นกัน

โดยวิธีการเก็บเว็บลง Stash สามารถทำได้ 2 วิธี  คือ

  1. กดที่รูปหัวใจ ที่มุมขวาของ Addressbar
  2. คลิกขวาบนหน้าเว็บ  แล้วเลือก Add to Stash

เมื่ออ่านเสร็จแล้วก็สามารถเอาออกจาก Stash ได้ด้วยวิธีเดียวกับตอนที่เพิ่มเข้าไป  หรือกด x ทิ้งที่หน้า Stash ก็ได้เช่นกัน

Discover สำหรับอ่านข่าวที่น่าสนใจ

ฟีเจอร์นี้เป็นอีกฟีเจอร์ที่พอร์ทมันมาจาก Opera บนมือถือครับ  หน้าที่ของมันก็คือจะเป็นหน้าที่รวมข่าวสารที่น่าสนใจ  และจัดหน้ามาให้สามารถเลือกดูได้สบายตามากขึ้น

โดยเราสามารถเลือกหมวดหมู่ของเนื้อหาที่สนใจได้ (เช่นเทคโนโลยี  สุขภาพ  บันเทิง  กีฬา และอื่นๆ) ได้จากเมนูด้านบนซ้าย  และสามารถเลือกโซนของข่าวได้จากเมนูรูปเฟืองที่เมนูด้านบนขวาครับ  โดยมันจะไปดึงเอาข่าวท้องถิ่นหรือข่าวที่อยู่ในภาษานั้นๆ มาให้เรา (ยังไม่มีภาษาไทย) และในเมนูเดียวกันนี้ก็สามารถเลือกได้ด้วยว่าจะเอาข่าวหมวดไหนขึ้นใน top stories บ้าง

Bookmarks และ Opera Link ที่หายไป

แม้ฟีเจอร์อย่าง Home tab จะได้รับการยกเครื่องใหม่หมด  แต่ฟีเจอร์เดิมอยาง Bookmarks และ Opera Link กลับถูกถอดออกไป

สำหรับ Bookmarks ทาง Opera ตั้งใจที่จะถอดมันออกไป  เพื่อให้มันเหมือนกับ Opera 14 for Android (ใช้ครับ Opera บนมือถือ  มันก็ไม่มี Bookmarks!!) โดยที่ทาง Opera ตั้งใจจะให้เราใช้ Speed Dial และ Stash ในการเก็บเว็บที่เข้าบ่อยหรือเว็บที่จะเก็บไว้อ่านทีหลังแทนการใช้ Bookmarks แบบเดิมๆ  ซึ่งอย่างที่ให้ดูไปแล้วว่า Speed Dial ใหม่สามารถสร้างโฟลเดอร์ได้  ดังนั้นการจัด Bookmarks ลง Speed Dial ก็อาจจะไม่รกเท่าไหร่นัก  ถ้าเทียบกับการที่มันสร้างโฟลเดอร์ไม่ได้

อย่างไรก็ตาม  ความคิดส่วนตัวของผม  ผมว่ามันยังแทนกันไม่ได้ทั้งหมด  ด้วยที่ตัว Speed Dial เองที่สร้างโฟลเดอร์ได้แค่ชั้นเดียว  ทำให้บางครั้งเรายังเก็บเว็บได้ไม่เป็นระเบียบเท่าที่ควร  และยังมีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่แสดงผลด้วย  คือเมื่อเราเก็บเว็บลง Speed Dial มากๆ  หน้า Speed Dial ก็จะยาวไปเป็นกิโล (และหลายๆ คนก็เก็บ bookmarks กันเป็นร้อยเป็นพันด้วยสิ)

สำหรับ Opera Link นี้  ทราบมาว่ายังอยู่ในขั้น “เตรียมการ” เพื่อที่จะใส่มันลงไปใน Opera เวอร์ชันถัดไปครับ  ดังนั้นค่อนข้างจะมั่นใจได้ว่า Opera Link จะกลับมาแน่นอน  แต่จะทัน Stable Release หรือไม่นี่ก็อีกเรื่องนึง

Smartbox: เมื่อ Addressbar และช่อง Search รวมเข้าด้วยกัน

คิดว่ามันคงเป็นของแถมที่มากับ Chromium กับช่อง Addressbar แบบใหม่นี้  ซึ่งก็จะเหมือน Addressbar เดิมครับ  เราสามารถพิมพ์เว็บที่จะเข้า  หรือพิมพ์ค้นหาในช่องนี้ได้เลย  และสามารถเลือกได้ว่าจะค้นหากับเว็บไหน  โดยคลิกที่ไอคอนมุมขวาล่างของรายการครับ

เมนู Settings ใหม่  ที่ปรับได้น้อยกว่าเดิม

ใช่แล้ว  มันปรับได้น้อยกว่าเดิมจริงๆ  โดยเมนู Settings เดิมของ Opera นั้น  จะมีลักษณะเป็นหน้าต่างแยกออกมา  และยังมี opera:configs ให้เลือกปรับค่าต่างๆ ได้อย่างอิสระดังภาพต่อไปนี้

แต่ใน Opera Next 15 มันกลายเป็นแท็บแบบเดียวกับ Chrome เป๊ะๆ  ตัวเลือกที่สามารถปรับได้เหลืออยู่เพียงแค่หยิบมือ  ซ้ำร้ายหน้า opera:configs เดิมก็หายไปเสียอีก (กลายมาเป็นเปิดหน้า Settings ธรรมดาแทน)

Opera Mail: Opera M2 ที่ถูกแยกออกไปเป็นอีกโปรแกรม

ปกติแล้ว Opera จะมีโปรแกรมรับส่งเมลแถมมาให้ในตัวด้วยตัวหนึ่ง  ซึ่งมันมีชื่อเรียกว่า Opera M2 แต่กลายเป็นว่าในปัจจุบันคนกลับนิยมใช้งาน Web mail มากกว่า Email Client ทำให้เจ้า M2 มีคนใช้งานไม่มากนัก  ทาง Opera ก็เลยจัดการตัดมันออกจากตัวเบราเซอร์เพื่อลดขนาดของเบราเซอร์  และแยกมันออกไปเป็นโปรแกรมใหม่อีกตัวนึงในชื่อว่า Opera Mail

Opera Mail ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากของเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิดครับ  เอาจริงๆ มันคือ Opera 12 ที่ตัดเอาฟีเจอร์เกี่ยวกับ Web browser ทิ้งออกไปนั่นเอง  ดังนั้นผมจะไม่ขอพูดถึงมันก็แล้วกัน

ระบบ Extension ที่ถูก “เปลี่ยน” ใหม่

เหมือนจะเป็นไฟลท์บังคับ  เมื่อเปลี่ยนมาพัฒนาต่อจาก Chromium ทำให้ระบบ Extension เดิมถูกถอดทิ้ง  และเปลี่ยนมาใช้โมเดลส่วนขยายของ Chromium แทน  โดยทาง Opera เองก็เพิ่ม API ของตัวเองเข้าไปอีกขั้นหนึ่ง (เช่น Speed Dial API) ทำให้ Opera Next 15 สามารถเอา Extension ของ Chrome มาใช้ได้ทันที (แต่บางอันอาจจะเอ๋อๆ บ้าง  เช่นอันที่ขอสิทธิ์ใช้งาน Notification เนื่องจาก Opera ไม่มีในส่วนนี้)

อย่างในภาพตัวอย่างนี้  ผมลองเอา Extension ของ Chrome ที่ชื่อว่า Twitter for Chrome เอามารันบน Opera ก็บนว่าสามารถใช้งานได้ไม่มีปัญหาอะไร

ส่วน Extension เก่าของ Opera เอง  ผู้ใช้จะต้องทำการพอร์ตให้มันมาเป็น Extension ในรูปแบบของ Chromium เสียก่อน  จึงจะเอามาใช้งานบน Opera ได้  อย่างไรก็ตาม  ทาง Opera ได้เตรียมเครื่องมือสำหรับแปลงไฟล์ Extension ของ Opera เดิม  ให้เป็น Extension ในแบบของ Chromium เอาไว้ให้แล้วครับ (แต่อาจจะไม่ถูกต้อง 100% ยังไงถ้าลองแปลงแล้วก็ควรตรวจสอบอีกรอบก่อนส่งขึ้น Catalog ครับ)  สนใจสามารถเข้าไปดูได้บน GitHub ได้เลยครับ

Off-road mode

จริงๆ มันก็คือ Opera Turbo ที่ถูกเปลี่ยนชื่อให้ดูดีขึ้นนั่นแหละครับ  โดยตอนนี้มันจะหันมาส่งข้อมูลด้วยโพรโตคอล SPDY แทน  เพื่อเพิ่มความเร็วในการรับส่งข้อมูล  สำหรับการบีบอัดข้อมูลต่างๆ โดยรวมก็ยังเหมือนเดิมครับ (เช่นการแปลงภาพเป็น webp)

ส่วนติดต่อผู้ใช้ ดูเข้ากับ OS มากขึ้น

เดิมที Opera จะมีระบบสำหรับเขียนส่วนติดต่อผู้ใช้ของตัวเอง  เช่นเมนูคลิกขวา  หรือไดอะล็อกต่างๆ  ทำให้ในหลายๆ ครั้งที่พวกปุ่มกดหรือเมนูใน Opera ดูจะไม่เข้ากับ OS สักเท่าไหร่  แต่ใน Opera Next 15 ก็ได้เปลี่ยนมาใช้ระบบเขียนส่วนติดต่อผู้ใช้ของ OS เป็นที่เรียบร้อย  ทำให้ส่วนติดต่อผู้ใช้ต่างๆ จะดูเข้ากับ OS มากขึ้น  ไม่ดูแปลกประหลาดอีกต่อไป

เครื่องมือสำหรับคนทำเว็บ

เรียกง่ายๆ ว่าเปลี่ยนไปใช้ของ Chromium ทั้งหมด  ตั้งแต่ Inspector และ Source code viewer แต่ตัว Inspector นั้นน่าจะเอา Dragonfly กลับเข้ามาในภายหลังครับ  ส่วน Error console เดิมของ Opera ก็หายไปเลย  ต้องดูเอาใน inspector แทน

ที่น่าเสียดายที่สุดคือเครื่องมือ view source ที่ของเดิมจะสามารถแก้ไขโค๊ดและกด apply ลงไปได้เลย  แต่ในเวอร์ชันนี้จะไม่สามารถทำได้อีกต่อไป (นั่นแหละ  มันเป็น source code viewer ของ Chromium)  ดังนั้นใครที่ติดใช้เครื่องมือของ Opera (อย่างผมเองเป็นต้น) ก็คงต้องปรับตัวกันขนานใหญ่  ถ้า Opera ไม่เอาเครื่องมือเดิมกลับมา

ทิ้งท้าย

ทาง Opera เองนั้นบอกเอาไว้ว่านี่เป็นแค่พรีวิวแรกเท่านั้น  ฟีเจอร์ต่างๆ ที่เคยมีใน Opera ยังพอร์ตมาลงได้ไม่ครบ  โดยที่จะทยอยใส่กลับเข้าในมารุ่นถัดๆ ไป (น่าจะหมายถึงพรีวิวถัดไป)

สิ่งหนึ่งที่ผมยังไม่ได้พูดถึงเลย  นั่นคือการใช้งาน

การใช้งานโดยรวมอาจจะเรียกได้ว่าเร็วขึ้น  ซึ่งจะเห็นชัดเมื่อเปิดเว็บที่มีการประมวลผลหนักๆ เช่น Facebook แต่กับเว็บธรรมดาทั่วไปที่ไม่มีการประมวลผลหนักๆ  จะแทบไม่เห็นความต่างใดๆ  ในด้านการแสดงผลนี่ผมยังตอบไม่ได้ว่าดีขึ้นแค่ไหน  ส่วนตัวผมหวังลึกๆ ว่าปัญหาที่ผมเจอกับ Chrome ทั้งหลายแหล่  จะไม่ตามมาหลอกหลอนผมใน Opera 15 นี้ (ขอให้ Blink แก้ปัญหาน่าปวดหัวของ WebKit ไปให้หมดเถอะ)

ในด้านความเสถียร  ถือว่าทำงานได้นิ่งมากครับ  ไม่เจอการแครชอะไรเลยสักนิด  และเปิดโปรแกรมได้เร็วกว่า Opera เดิมอย่างเห็นได้ชัด  อันนี้ผมไม่แน่ใจว่ามันเร็วขึ้นจริงๆ หรือเพราะผมเพิ่งติดตั้งมันกันแน่  ยังไงก็คงต้องรอดูกันต่อไป

แล้วควรจะเปลี่ยนจาก Opera เดิมมาใช้ Opera Next 15 เลยหรือไม่?

ส่วนตัวแล้ว  สำหรับคนที่ใช้ Opera อยู่ก่อน  ยังไม่แนะนำให้เปลี่ยนมาใช้เป็นตัวหลักครับ  เนื่องด้วยว่ามันยังขาดฟีเจอร์สำคัญอย่างการซิงค์ข้อมูล (ถึงมันจะมี Bookmark Importer ให้  แต่เหมือนมันจะยังใช้ไม่ได้) แต่ถ้าใครไม่แคร์ตรงนี้  จะเอามาใช้ก็ไม่ว่ากัน  ส่วน User ใหม่ผมก็ยังไม่ค่อยแนะนำอยู่ดี  เพราะมันคือ Opera Next ครับ  เป็นรุ่นทดสอบ  อาจจะเปิด accident อะไรให้หงุดหงิดเล่นตลอดก็ได้  แต่ถ้าใครใช้ Chrome รุ่นทดสอบอยู๋เป็นปรกติ  จะมาใช้ก็ไม่ว่ากัน

ดาวน์โหลด: Opera Next
ดาวน์โหลด: Opera Mail

ข้อมูลเพิ่มเติม: Opera Desktop Team, Opera Developer News

Posted by jirayu

WordPress Developer ที่พอมีประสบการณ์อยู่บ้าง วันไหนไม่ทำงานอยู่บ้านว่างๆ ก็นั่งเลี้ยงแมว

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *