ตั๋วหนังมหาโหด กับภาระที่คนดูหนังต้องก้มหน้ารับ

วันนี้ขอเปลี่ยนเรื่องจากแนวไอที  มาเป็นเรื่องอื่นบ้าง (ถ้าสังเกตุคือผมไม่ได้อัพบล็อกในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเทคโนโลยีมานานมากแล้ว) วันนี้ผมจะพูดถึงเรื่องตั๋วหนังราคามหาโหดของโรงหนังเจ้าตลาดของไทย  ใช่แล้ว  เมเจอร์กับเอสเอฟนั่นเอง

ผมจำได้ว่าผมเกิดทันที่ช่วงที่ตั๋วหนังราคา 100 บาทเป็นมาตรฐาน  ค่อยๆ ขึ้นมาเป็น 120, 140, 160 ตามลำดับ (จำได้ว่าหลังๆ นี่  ผมจ่ายเงินค่าตั๋วหนังที่ราวๆ 160-180 บาทต่อที่นั่ง) ยอมรับเลยว่าที่ผ่านมาตั๋วหนังค่อยๆ ขึ้นราคาที่ละ 20 บาทนั้นผมแทบไม่รู้ตัวเลย

แล้วทำไมตั๋วหนังถึงแพง?

ถ้าจะถามในมุมมองของผม  นั่นก็คือโรงหนังในไทยถูกผูกขาดโดยเครือเมเจอร์และเอสเอฟมานาน  สองเครือนี้มีโรงหนังจำนวนมาก  และเกือบทั้งหมดอยู่ในห้าง  และใครๆ ก็ไปห้างกัน  ดังนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลยที่คนส่วนมากจะไปจ่ายเงินเพื่อดูหนังกับสองเครือนี้กันจนเกือบหมดจนกลายเป็นการถูกผูกขาดโดยไม่รู้ตัว  ดังนั้นแล้วเมื่อตลาดนี้เกิดการผูกขาดขึ้นมา  ในเมื่อคนดูหนังแทบไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเมเจอร์และเอสเอฟ  ทำไมเค้าจะต้องแคร์เรื่องราคาที่แพงมหาโหด?

อันที่จริงในมุมของทางโรงหนังเอง  ก็พอจะบอกได้ว่าค่าเช่าที่ การดูแล การออกแบบ สร้าง และตกแต่งโรงหนัง ทำให้มีต้นทุนจำนวนมหาศาล  แน่นอนว่าธุรกิจต้องการที่จะถอนทุนคืนโดยเร็วที่สุด  ดังนั้น  เขาก็เลยมาหาเงินด้วยการชาร์จค่าตั๋ว  และค่าของกินหน้าโรงนั่นไง! (ป๊อปคอร์นอิมพอร์ตจากอเมริกานั่นไร้สาระครับ  ชาเขียวโออิชิกับสาหร่ายเถ้าแก่น้อยเค้ายังโก่งราคาเกือบเท่าตัวเลย  เว้นแต่เค้าจะนำเข้าชาเขียวโออิชิกับสาหร่ายเถ้าแก่น้อยจากอเมริกานะ!)

คำถามคือเมื่อถอนทุนค่าสร้างโรงหนังออกไปได้แล้ว  เหลือเพียงแค่ค่าเช่า  และค่าลิขสิทธิ์หนัง  ทำไมไม่ลดราคาตั๋วหนังและของกินหน้าโรงล่ะ? อ้าว อ้อยเข้าปากช้าแล้วมันจะยอมคายหรือไง!

นี่ยังไม่นับที่ราคาตั๋วจะแพงกว่าปกติในวันหยุดอีกนะ  ซึ่งตามหลักปกติแล้ว  ในวันหยุดคนจะเข้ามาดูหนังมากขึ้น  มันทำให้ต้นทุนการฉายหนังถูกลงด้วยซ้ำไป  นั่นแหละ  เค้าก็ได้เพิ่มไปจากส่วนต่างของต้นทุนที่ลดลง  และราคาคาขายที่เพิ่มขึ้นด้วย

นั่นก็ทำให้มันวนกลับไปข้างบนนั่นเอง  ลูกค้าอย่างเราๆ  แทบไม่มีทางเลือกอื่นเลยนอกจากโรงของเมเจอร์และเอสเอฟ  ลิโด้กับเฮาส์เหรอครับ? ราคาถูกจริง  แต่เอาเข้าจริงการเดินทาง ไม่ค่อยสะดวก (โดยเฉพาะเฮาส์) และหนังก็ไม่มีพากย์ไทย (สำคัญนะครับ  ไม่ใชทุกคนที่จะสนุกกับการดูหนังซาวด์แทร็ค  คนจำนวนมากฟังอังกฤษไม่ออก  และในกลุ่มนี้ก็มีจำนวนมากที่อ่านซับไตเติลไม่ทัน) ดังนั้นโรงหนังทางเลือกพวกนี้จึงไม่ใช่ทางเลือกของพวกเขาเป็นแน่แท้

นั่นแหละ  พวกเขาก็กลับไปเข้าเมเจอร์และเอสเอฟ  เหมือนเป็นการบังคับไปกลายๆ

และในเมื่อลูกค้าไม่สามารถหนีไปไหนได้  มันก็เป็นหมูในอวยแล้วล่ะครับ  เขาจะขึ้นราคาอะไรสักเท่าไหร่  คนก็ยังต้องก้มหน้าก้มตาจ่ายเงินซื้อตั๋วของเขาอยู่ดี  ผมค่อนข้างมั่นใจว่าต่อให้ตั๋วขึ้นไปถึงราคา 300 บาท  คนก็เข้าโรงหนังไปไม่น้อยกว่าปัจจุบันนี้หรอก

แล้วคนดูอย่างเราๆ จะทำอะไรได้?

คำตอบคือเราไม่สามารถทำอะไรได้เลย  ทำไม?

อันที่จริง  มันพอจะมีทางออก “ในเชิงไอเดีย” อยู่อย่างนึง  นั่นคือการร่วมมือกันบอยคอตโรงหนัง  ทำให้โรงหนังรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ในสถานะที่ผูกขาดการดูหนังของเราอีกต่อไป  การหนีไปใช้บริการโรงหนังทางเลือก  การเลือกดูหนังเฉพาะวันพุธ (ซึ่งตั๋วหนังมันจะราคาถูกกว่าปกติ)  การสร้างปรากฎการณ์ให้โรงหนังว่างเป็นป่าช้าไปจนกว่าเขาจะยอมลดราคา

ทำได้มั๊ยล่ะ?

โรงหนังทางเลือกในไทยมีอยู่เพียงแค่หยิบมือ  ดังนั้นเราสามารถตัดข้อนี้ทิ้งไปได้  มันไม่พอกับจำนวนคนดูหนังแน่ๆ  การเลือกดูหนังเฉพาะวันพุธ  ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะไปดูได้  นักเรียนต้องรอเลิกเรียน  คนทำงานต้องรอเลิกงาน  ก็มันไม่ใช่วันหยุดนี่นะ

เอาล่ะ  สมมุติว่าเราทำได้แล้วกัน  หากเราสร้างปรากฎการณ์ให้โรงหนังว่างได้  สิ่งแรกที่จะโผล่มาคือโปรโมชันราคาถูกนรกแตก  เราอาจจะได้เห็นตั๋วราคา 140 หรือตั๋ว 1 แถม 1 ซึ่งแน่นอนตอนนี้คนคงกลับไปดูกันจนเต็มโรงเหมือนเดิม  และหลังจากผ่านโปรโมชันพวกนี้ไป  โรงก็จะกลับมาขายตั๋วราคาปกติอีกครั้ง  ซึ่งก็จะอยู่ที่คนดูหนังอีกว่าจะปล่อยๆ มันไป  แล้วกลับไปดูหนังเหมือนเดิม  หรือจะกลับมาบอยคอตโรงหนังต่อ?

คือถ้าเราใจอ่อน  ลืมเรื่องเก่าๆ ไป  แล้วกลับไปดูหนังเหมือนเดิม  เราก็ยังเป็นหมูในอวยคอยให้โรงหนังสูบเลือดสูบเนื้อเช่นเคย  แต่ถ้าเราไม่ยอม  พอขายแพงก็ไม่เข้า  ทำให้โรงหนังว่างได้อีกรอบ (หรืออาจจะอีกหลายๆ รอบ) มาถึงจุดนี้โรงหนังควรจะเริ่มสำนึกตัวเองได้บ้าง  และยอมลดราคาตั๋วหนังลงมา (ซึ่งคงลดมาไม่เกิน 20 บาทหรอก  จริงๆ นะ)

นั่นคือเหตุผลที่ผมบอกว่า  ทำไมเราถึงทำอะไรไม่ได้เลย  เพราะเราไม่มีทางเลือกมากพอ  เพราะเรายังมีความต้องการที่จะดูหนังในโรงกันอยู่  แล้วเราจะทำอะไรให้เค้ายอมลดค่าตั๋วได้ล่ะ?

งานนี้ถ้า สคบ ไม่สามารถทำอะไรได้ (ซึ่งก็เห็นทีจะเป็นเช่นนั้น) คนดูหนังก็ไม่สามารถทำอะไรได้แล้วเช่นกันครับ

อ้อ  หรือถ้าจะมีโรงหนังที่เป็น “ขั้วที่สาม” ก็ได้นะ  แต่มันจะไปผุดขึ้นมาได้ตรงไหนกัน…

สวัสดี

Posted by jirayu

WordPress Developer ที่พอมีประสบการณ์อยู่บ้าง วันไหนไม่ทำงานอยู่บ้านว่างๆ ก็นั่งเลี้ยงแมว

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *