หรือว่าลึกๆ แล้วทัศนคติการเหยียดเพศยังคงฝังอยู่ในสังคม?

ผมไปเจอบทความหนึ่งในเว็บต่างประเทศมาครับ บทความดังกล่าวว่าด้วยเรื่องของการถูกเหยียดเพศในบริษัทจัดหางานแห่งหนึ่ง ซึ่งทำให้ต้องมานั่งคิดว่าสังคมปัจจุบันที่เรารณรงค์กันถึงความเท่าเทียมทางเพศ (ในแบบที่ถูกที่ควร) นั้นได้แก้ปัญหาการเหยียดเพศเหล่านี้ไปหรือเปล่า?
งานไม่ก้าวหน้า เพราะเพศเป็นกำแพงกั้น?
ในบทความดังกล่าวเขียนโดยนาย Martin R. Schneider ว่าด้วยเรื่องของ Nicole Pieri เพื่อนร่วมงานหญิงคนหนึ่งในที่ทำงานเก่าของเขา ที่มักจะถูกหัวหน้าตำหนิอยู่เสมอว่าทำงานได้ช้า เมื่อเทียบกับตัวเขาที่มักจะทำงานได้เร็วกว่า ซึ่งในทีเรียกเขาก็คิดว่าเป็นเพียงเพราะว่าเขามีประสบการณ์มากกว่าเท่านั้น
หากแต่ว่าไม่ใช่?
จนกระทั่งวันหนึ่งที่เขาส่งอีเมลคุยกับลูกค้าตามปกติ แต่สิ่งที่ไม่ปกติคือวันนี้ลูกค้าไปกินรังแตนอะไรมาก็ไม่ทราบ จึงได้พูดคุยกับเขาด้วยถ้อยคำที่คาบคายและไม่ให้เกียรติใดๆ กันเลยสักนิด และจับผิดคำแนะนำของเขาตลอดเวลา และจนกระทั่งเขากำลังจะเม้งแตกใส่ลูกค้านั่นเอง เขาก็พบว่าอีเมลที่เขากำลังส่งคุยกับลูกค้าอยู่นั้น เป็นการส่งไปในชื่อของ “Nicole Pieri” เพื่อนร่วมงานหญิงของเขานั่นเอง!
และทันที่เขาเปลี่ยนอีเมลกลับเป็นชื่อของเขา กลายเป็นว่าลูกค้าโป๊ะแตก ขอโทษขอโพยเขาเป็นการใหญ่ และกลับมาพูดจาด้วยความเคารพให้เกียรติเหมือนเดิม พร้อมทั้งยังขอบคุณในคำแนะนำของเขาอีกด้วยแน่ะ
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เขาฉุกคิดขึ้นมาได้ และทำการทดลองเล็กๆ ขึ้นเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ โดยการสลับให้เพื่อนร่วมงานของเขาใช้ชื่ออีเมลเป็นของเขาแทน ซึ่งผลที่ออกมาคือเขาแทบเสียสุขภาพจิตกับพฤติกรรมของลูกค้าในขณะที่เขาใช้ชื่ออีเมลผู้หญิง ส่วนเพื่อนร่วมงานหญิงของเขานั้นกลับกลายเป็นว่าเป็นสัปดาห์ที่เธอทำงานได้ดีที่สุดในชีวิตการทำงานเลยทีเดียว
ตัวเขาเองนั้นเรียกได้ว่าตะลึงพรึงเพิดกับผลที่ออกมา ส่วนเพื่อนร่วมงานของเขานั้นบอกว่าเธอรู้มานานแล้วว่าปัญหามันอยู่ตรงนี้
นอกจากนี้เขายังพบข้อสังเกตุอีกอย่างหนึ่งด้วยว่าถ้าชื่อผู้หญิงนั้นฟังดูเหมือนเป็นชื่อผู้หญิงผิวสี ก็มีแนวโน้มว่าจะโดนลูกค้าหัวเสียใส่ได้มากกว่าปกติ
อ้างอิง – ATTN
การเหยียด?
ทุกวันนี้สังคมส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการต่อต้านการเหยียดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพศ ชาติพันธุ์ สีผิว หรือรสนิยมต่างๆ แต่เอาเข้าจริงแล้วในส่วนลึกการเหยียดสิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็ยังคงฝังลึกอยู่ในสังคม เพียงแต่มันถูกปกปิดเอาไว้ก็เท่านั้น
แต่ว่าในขณะเดียวกัน ก็มีการเหียดซ้อนเหยียดอีกทีหนึ่ง และเกิดขัดแย้งในตัวเองขึ้น ฝรั่งผิวขาวหลายคนก็พูดถึงในประเด็นนี้ว่าการเหยียดผิวนั้นจะนับว่าเป็นการเหยียด ก็ต่อเมื่อเป็นคนผิวขาวกระทำกับคนผิวสีเท่านั้น ในขณะที่การที่คนผิวสีไม่ยอมรับคนผิวขาว กลับกลายเป็นไม่ถูกมองว่าเป็นการเหยียด หรือเรื่องใกล้ตัวของเราอย่างเช่นสิทธิสตรี ที่หลายคนเลยเถิดไปถึงขนาดว่าผู้หญิงจะต้องอยู่ในจุดที่สูงกว่าผู้ชายไปเสียอย่างนั้น
ประเด็นเรื่องการเหยียดนั้นมักมาพร้อมกับเรื่องของความเท่าเทียม ที่วาดภาพว่าทุกคนจะต้องเท่าเทียมกัน ซึ่งเอาจริงๆ แล้วผมไม่เชื่อว่าสักวันหนึ่งคนทุกคน ทุกเพศ ทุกชาติพันธ์ ทุกฐานะ ทุกระดับการศึกษา จะสามารถขึ้นมาเท่าเทียมกันได้ แต่สิ่งที่เป็นไปได้คือการก้าวข้ามการเหยียด การให้เกียรติซึ่งกันและกัน คนรวยเลิกเอาเปรียบคนจน คนมีการศึกษาเลิกดูถูกคนขาดโอกาสทางการศึกษา สิ่งนี้น่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้มากกว่าการที่จะให้ทุกคนขึ้นมาเท่าเทียมกันได้อย่างแน่นอน